1. Public cloud คืออะไร |
2. Private cloud คืออะไร |
3. เปรียบเทียบรูปแบบการให้บริการทั้ง 3 แบบของ Public cloud |
4. ผู้ให้บริการ (cloud provider) รายใหญ่ |
เมื่อธุรกิจเริ่มเติบโตขึ้น ผู้คนจำนวนมากเริ่มหันมาพึ่งพาการใช้เทคโนโลยีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การใช้บริการระบบคลาวด์ (cloud) จึงเป็นอีกเทคโนโลยีหนึ่งที่ผู้คนให้ความสนใจ แต่การตัดสินจะมาใช้คลาวด์ก็ต้องรู้จักความแตกต่างของระบบคลาวด์ที่มีหลายประเภท ว่าควรจะเลือกบริการอันไหนดี ธุรกิจแบบไหนเหมาะกับระบบคลาวด์ ฯลฯ มีจุดที่ต้องคำนึงถึงมากมาย และหนึ่งในจุดสำคัญที่ต้องพิจารณาก็คือ ควรเลือกใช้อันไหนดีระหว่าง Public cloud กับ Private cloud
1. Public cloud คืออะไร |
2. Private cloud คืออะไร |
3. เปรียบเทียบรูปแบบการให้บริการทั้ง 3 แบบของ Public cloud |
4. ผู้ให้บริการ (cloud provider) รายใหญ่ |
ในครั้งนี้ เราจะมาแนะนำเกี่ยวกับ Public cloud คร่าวๆ และข้อดีของมัน พร้อมเปรียบเทียบกับข้อดีข้อเสียกับ Private cloud นอกจากนี้ เราจะอธิบายเกี่ยวกับบริการเด่นๆ และรูปแบบการให้บริการของ Public cloud สำหรับใครที่กำลังคิดจะย้ายมาใช้คลาวด์ หรือกำลังสับสนอยู่ว่าจะเลือกใช้บริการอันไหนดี ลองใช้บทความนี้เป็นตัวช่วยตัดสินใจก่อนครับ
Public cloud หมายถึง ระบบคลาวด์ที่เปิดให้ใช้บริการโดยทั่วไป (บน server สาธารณะ)
อ่านเพิ่มเติม Cloud (คลาวด์) คืออะไร
เป็นการใช้ทรัพยากรที่ผู้ให้บริการคลาวด์จัดเตรียมให้ อย่างเช่น เซิร์ฟเวอร์ ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์เท่าที่จำเป็นเท่านั้น โดยที่บริษัทไม่จำเป็นต้องมีเซิร์ฟเวอร์ส่วนตัว
จุดเด่นหลักๆ ของมันก็คือใช้ต้นทุนต่ำและเวลาไม่นานในการเริ่มใช้ครั้งแรก และมีความสามารถในการขยายสูง จึงเหมาะกับกรณีที่มีการเพิ่มหรือลดทรัพยากรที่ใช้งานอยู่บ่อยครั้ง หรือกรณีที่ต้องการลดต้นทุนเป็นอันดับแรก
ข้อดีที่เห็นได้ชัดของ Public cloud คือ สามารถเริ่มใช้งานได้ทันทีหลังจากสมัครผ่านทางอินเทอร์เน็ต
สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในการเริ่มต้นใช้งานได้ เนื่องจากไม่จำเป็นต้องซื้อฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
การที่มันมีความสามารถในการขยายสูงก็ถือเป็นอีกจุดเด่นของ Public cloud เช่นกัน และด้วยการที่เราสามารถเลือก CPU, Memory, และ Disk ได้อย่างอิสระ พร้อมทั้งยังสามารถปรับการใช้ทรัพยากรให้เหมาะสมตามความจำเป็นได้อย่างง่ายดาย ทำให้มีความยืดหยุ่นในการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ
นอกจากนี้ เรื่องการจัดการ/ดูแลการทำงานของระบบบน Public cloud ทางผู้ให้บริการคลาวด์จะเป็นผู้ดูแลให้ เพราะฉะนั้น การที่เราไม่จำเป็นต้องมาเสียเวลากู้คืน/ซ่อมแซมเวลาที่เกิดเหตุขัดข้องหรือคอยบำรุงรักษาระบบด้วยตัวเอง ก็เหมือนเป็นการช่วยลดภาระให้ฝ่าย IT ภายในบริษัท
สำหรับการคิดค่าบริการ บริการของ Public cloud ส่วนใหญ่จะเป็นแบบเรียกเก็บค่าบริการตามปริมาณการใช้งาน ดังนั้น เราจึงสามารถเลือกใช้งานแค่ในส่วนที่จำเป็นในตอนที่จำเป็นได้ และไม่ต้องกังวลว่าจะเสียเงินเปล่า
จุดหนึ่งที่ต้องระวังเมื่อจะเริ่มใช้ Public cloud เลยก็คือ ความเข้ากันได้กับบริการที่เรามีอยู่ สำหรับบางบริการหรือระบบที่ใช้อยู่ อาจไม่รองรับ Public cloud หรือในบางครั้งอาจจะต้องมีมาตรการแยกต่างหากเพื่อความปลอดภัย
Public cloud ยังมีขีดจำกัดในการปรับแต่ง เนื่องจากต้องใช้บริการที่อยู่ในขอบเขตที่ทางผู้ให้บริการคลาวด์กำหนด ทำให้การเปลี่ยนแปลงการตั้งค่าหรือฟังก์ชันให้เหมาะกับการใช้งานของเราเป็นเรื่องยาก ดังนั้น ก่อนที่จะเริ่มใช้ระบบนี้ ควรตรวจสอบกับผู้ให้บริการคลาวด์ให้แน่ใจก่อนว่ามันสามารถใช้กับระบบที่เราใช้อยู่ หรือเหมาะกับสิ่งที่เราต้องการหรือไม่
หนึ่งในข้อดีของ Public cloud ก็คือ การที่เราไม่ต้องดูแลการทำงานของระบบหรือซ่อมแซมเวลาเกิดเหตุขัดข้องด้วยตัวเอง แต่ทว่า ถ้ามองในมุมกลับกัน นั่นหมายความว่าเมื่อเกิดเหตุขัดข้องมีแต่ต้องรอให้ผู้ให้บริการคลาวด์ดำเนินการแก้ไขให้เท่านั้น เพราะฉะนั้นต้องระวังไว้ว่าเป็นการยากที่จะเข้าใจและควบคุมสถานการณ์
เนื่องจากเป็นระบบที่ใช้เครือข่ายที่เปิดให้บริการแบบสาธารณะ เมื่อเทียบกับ Private cloud แล้วด้านความปลอดภัยอาจจะด้อยกว่าบ้าง ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยการที่ไม่ว่าใครก็สามารถเข้าใช้งานได้อย่างง่ายดาย จึงมีความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาใหญ่จากความผิดพลาดเพียงเล็กน้อย เช่น ตั้งค่าการจำกัดสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลที่เป็นความลับผิด เป็นต้น ในการป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุด้านความปลอดภัยนั้น จำเป็นจะต้องมีการปรับแต่ง เช่น สร้างสภาพแวดล้อมเครือข่ายที่มีการแยกทรัพยากรทางกายภาพ(CPU, Memory ฯลฯ) ออกจากผู้ใช้รายอื่น
ระบบที่มักจะถูกเปรียบเทียบกับ Public cloud ก็คือ Private cloud ซึ่งระบบนี้จะเป็นระบบคลาวด์ที่เปิดให้บริการสำหรับแค่บริษัทหรือองค์กรนั้นๆ โดยเฉพาะ รวมถึงทรัพยากรต่างๆ เช่น ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ data center และการเชื่อมต่อสายต่างๆ ก็เป็นของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะจึงสามารถตั้งค่าได้อย่างอิสระ
Private cloud จะถูกแบ่งออกเป็นสองแบบคือ แบบ "On-Premise" ที่ทรัพยากรทางกายภาพ เช่น การเชื่อมต่อสายและอุปกรณ์ต่างๆ จะอยู่ภายในบริษัท กับแบบ "Hosting" ที่ไม่ได้อยู่ภายในบริษัท
แบบ On-Premise จะใช้เครื่อง server จริงที่อยู่ในบริษัทจำลองคลาวด์ขึ้นมา เรียกได้ว่าเป็นการนำระบบ On-Premise แบบดั้งเดิมมาเปลี่ยนให้เป็นคลาวด์ส่วนหนึ่ง เพราะฉะนั้นจึงเหมาะกับงานที่ต้องจัดการกับข้อมูลที่มีความสำคัญ เนื่องจากสามารถปรับแต่งให้เข้ากับนโยบายด้านความปลอดภัยของบริษัทได้
ส่วนแบบ Hosting ซึ่งเป็นการนำเซิร์ฟเวอร์หลายๆ เครื่องมาเชื่อมต่อการทำงานพร้อมๆ กัน จะเป็นการสร้างและใช้ระบบคลาวด์ส่วนตัวบนสภาพแวดล้อมที่ทางผู้ให้บริการคลาวด์จัดเตรียมให้ จุดเด่นของมันคือใช้งานง่ายเหมือน Public cloud และยังสามารถใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยได้เหมือน Private cloud แบบ On-Premise
ข้อดีใหญ่ๆ ของ Private cloud เลยก็คือสามารถปรับแต่งได้ละเอียด และสร้างระบบได้อย่างอิสระตามที่ต้องการ ทำให้เราสามารถเพิ่มฟังก์ชันต่างๆ ให้เหมาะสมกับการดำเนินงานและความต้องการของเราได้จนกว่าจะพอใจ
การที่ Private cloud มีความปลอดภัยสูงก็ถือเป็นอีกจุดเด่นเช่นกัน Private cloud นั้นสามารถสร้างสภาพแวดล้อมด้านความปลอดภัยตามนโยบายด้านความปลอดภัยที่ผู้ใช้งานกำหนดเองได้ ตรงข้ามกับ Public cloud ที่นโยบายด้านความปลอดภัยจะถูกกำหนดโดยผู้ให้บริการคลาวด์ ดังนั้นเราจึงสามารถจัดการดูแลด้านความปลอดภัยที่เหมาะสมกับนโยบายขององค์กรได้ เช่น เปลี่ยนข้อกำหนดด้านความปลอดภัยในทุกๆ ชิ้นงาน
เนื่องจาก Private cloud นั้นเป็นการสร้างระบบที่ปรับแต่งได้ตามต้องการและเรายังเป็นเจ้าของเอง ทำให้ค่อนข้างใช้ต้นทุนและเวลาในการเริ่มต้นใช้งาน โดยเฉพาะแบบ On-Premise ค่าใช้จ่ายในการติดตั้งอาจจะสูงเป็นพิเศษ เนื่องจากต้องซื้อฮาร์ดแวร์, ซอฟต์แวร์ และอื่นๆ อีก
การเพิ่มหรือลดทรัพยากรของ Private cloud อาจทำได้ยากหากติดตั้งเรียบร้อยแล้ว เพราะบริการ Private cloud ส่วนใหญ่จะมีการทำสัญญาระยะยาวซึ่งเรียกเก็บค่าบริการตามจำนวนเงินที่กำหนดไว้แล้วขึ้นอยู่กับระยะเวลาการใช้งาน
Private cloud ต่างจาก Public cloud ที่โดยปกติจะเรียกเก็บค่าบริการตามปริมาณการใช้งาน ดังนั้น ความสามารถในการขยายของมันจึงต่ำ ซึ่งไม่เหมาะกับผู้ที่ต้องการเพิ่มหรือลดทรัพยากรอยู่บ่อยๆ จึงสามารถพูดได้ว่าการจะควบคุมค่าใช้จ่ายให้คุ้มค่าที่สุดอาจเป็นเรื่องยากเมื่อเทียบกับ Public cloud ที่สามารถเลือกใช้แค่ในเวลาที่จำเป็นและในปริมาณที่จำเป็นได้
อีกข้อเสียคือ เราจำเป็นต้องจัดการดูแลการทำงานของระบบที่อยู่ภายในบริษัทเอง เนื่องจากทั้งการบำรุงรักษาและการซ่อมแซมเมื่อเกิดเหตุขัดข้องจะต้องทำด้วยตัวเองทั้งหมด ภาระหน้าที่ของผู้รับผิดชอบก็จะเพิ่มขึ้นไปอีก กลายเป็นว่าต้องเสียทั้งค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและค่าจ้างเพิ่มขึ้นอีก
สำหรับ Public cloud สามารถแบ่งได้ 3 รูปแบบใหญ่ๆ ตามขอบเขตการให้บริการ เรามาดูรายละเอียดคร่าวๆ ของแต่ละอันกันดีกว่า
รูปแบบที่เราใช้บริการซอฟต์แวร์ที่ทางผู้ให้บริการคลาวด์จัดเตรียมให้ผ่านทางอินเทอร์เน็ต เนื่องจากเป็นบริการที่อยู่อินเทอร์เน็ต เราจึงสามารถใช้งาน application ได้โดยไม่ต้องติดตั้ง ถ้าจะให้ยกตัวอย่างที่เป็นบริการของ Google ที่ถือเป็น SaaS ก็อย่างเช่น Gmail, Google Drive ฯลฯ
รูปแบบที่เราใช้บริการ Platform ผ่านทางอินเตอร์เน็ตสำหรับการรัน application ทั้งฐานข้อมูลและภาษาที่จำเป็นในการพัฒนา application จะถูกจัดเตรียมให้ ดังนั้นผู้ใช้งานส่วนใหญ่จะเป็นผู้พัฒนา app สำหรับตัวอย่างบริการของ Google จะได้แก่ Google App Engine
รูปแบบที่เราใช้บริการโครงสร้างพื้นฐานของคอมพิวเตอร์(Infrastructure) ผ่านทางอินเตอร์เน็ต เช่น เซิร์ฟเวอร์จำลอง ที่เก็บข้อมูล และเครื่องจ่ายไฟ ฯลฯ ในการรันระบบ ด้วยข้อดีที่ว่าเราสามารถสร้างและปรับแต่งโครงสร้างเหล่านั้นได้ตามที่ต้องการโดยที่ทางผู้ให้บริการคลาวด์จะจัดการดูแลการทำงานของฮาร์ดแวร์ให้ ผู้ใช้งานหลักๆ จึงเป็นผู้ที่ต้องการใช้ทั้งระบบปฏิบัติการ ตัวอย่างบริการแบบ IaaS ที่เป็นของ Google ได้แก่ Google Compute Engine
Google Cloud
AWS
Microsoft Azure
Google Cloud ก็คือบริการคลาวด์ของ Google ที่มีจุดเด่นอย่างมากในเรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลและ Machine Learning นอกจากนี้ ยังให้ความรู้สึกคุ้นเคยและใช้งานง่ายสำหรับคนที่ใช้บริการ เช่น Search engine ของ Google, Gmail, Youtube, หรือ Google Maps อยู่แล้ว
อ่านเพิ่มเติม Google Cloud คืออะไร (ฉบับมือใหม่)
AWS(Amazon Web Services) เป็นบริการคลาวด์ของ Amazon ที่เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 2004 ทั้งส่วนแบ่งทางการตลาดและประวัติความเป็นมาถือเป็นอันดับต้นๆ อีกทั้งยังมักจะถูกนำไปเป็นมาตรฐานในการเปรียบเทียบกับบริการ Public cloud อื่นๆ และยังเป็นที่นิยมในประเทศ(ญี่ปุ่น) การค้นหาด้วยภาษาญี่ปุ่นก็ทำได้ง่าย เรียกได้ว่าเวลามีปัญหาก็หาที่ปรึกษาได้ไม่ยาก
Microsoft Azure เป็นบริการคลาวด์ของ Microsoft จุดเด่นใหญ่ๆ เลยก็คือมีความเกี่ยวข้องกับบริการของ Microsoft อย่างเช่น Office 365 สำหรับผู้ที่ใช้ Active Directory หรือ Windows Serve อยู่แล้ว จะสามารถเชื่อมต่อกันได้อย่างราบรื่นและใช้งานได้โดยไม่มีติดขัดแม้จะย้ายมาบนคลาวด์ก็ตาม
จนถึงตรงนี้ เราได้แนะนำเกี่ยวกับ Public cloud เบื้องต้น รวมถึงข้อดีข้อเสียและบริการที่เด่นๆ เพราะฉะนั้นลองพิจารณาว่าคลาวด์ชนิดไหนและรูปแบบไหนที่เหมาะสมกับธุรกิจของเราที่สุด
หากคุณสนใจต้องการคำปรึกษา Cloud Ace Thailand พร้อมให้บริการที่จะสนับสนุนคุณตั้งแต่ การให้คำปรึกษา จนถึงการออกแบบระบบ ติดตั้งระบบ ย้ายระบบ ในฐานะ Google Cloud Partner ที่มีความเชี่ยวชาญ และได้รับรางวัล Service partner of the year ในปี 2019
ติดต่อเรา th_sales@cloud-ace.com
Thank you for subscribing!
Have a great day!